Funny game for your mobile

10 อันดับสัตว์ประหลาดใต้น้ำที่กัดได้แรงที่สุด

        


    ในท้องทะเลแม้แต่ในแม่น้ำล้วนเต็มไปด้วยสัตว์ร้าย!ที่จ้องจะกัดเรา แต่ละตัวมีปากใหญ่เล็กก็ไม่เท่ากัน  มีการวัดค่าความเสียหายจากแรงกัดมหาศาลด้วยค่า PSI แล้วค่า PSI ก็ไม่ได้มาจากแรงดันลมยางนะ แต่ย่อมาจาก per square inch (psi) นั่นก็คือความเสียหายต่อพื้นที่ หน่วยเป็นตารางนิ้วโดยร่องรอยความเสียหายที่เกิดจากสัตว์ร้ายพวกนี้กัด แม้บางตัวจะเล็กมากๆ แต่เมื่อเทียบพลังกัดเมื่อขนาดฟันของมันเท่ากัน สัตว์ตัวเล็กกว่าอาจจะน่ากลัวกว่าฉลาม! อย่าประมาทเพราะเห็นว่ามันฟันเล็กนิดเดียวเป็นอันขาด!!! โชคยังดีที่บางตัวได้สูญพันธ์ไปแล้ว ขนาดแค่โดนถากๆยังทำให้แผลเปิดเป็นทาง แล้วถ้าเราโดนพวกมันกัดเต็มแรงล่ะจะเสียหายหนักขนาดไหนนะ มาดูกันดีกว่าว่าสัตว์น้ำชนิดไหนกันที่กัดได้รุนแรงทีสุด


325 PSI ปลาฉลามเสือ (TIGER SHARK)

      ปลาฉลามเสือ มีลักษณะไม่ใหญ่มากนัก มีจุดเด่นที่ลำตัวมีลวดลายคล้ายเสือ เป็นปลาที่ออกลูกเป็นตัว มีระยะเวลาตั้งท้องนานเกือบหนึ่งปี สามารถตกลูกได้ตลอดทั้งปี โดยเฉลี่ยจะตกลูกครั้งละ 10-82 ตัว ลูกปลาแรกเกิดมีความยาวประมาณ 51.76 เซนติเมตร เข้าสู่วัยเจริญพันธุ์เมื่ออายุได้ 4-6 ปี อายุขัยโดยเฉลี่ย 12 ปี มีรูปร่างอ้วนป้อม ปากกว้าง ปลายปากสั้นและทู่ เมื่อโตเต็มที่มีขนาดประมาณ 5 เมตร แต่ตัวที่ใหญ่ที่สุดที่เคยพบคือ 7 เมตร
        ปลาฉลามเสือนับได้ว่าเป็นปลาฉลามอีกชนิดหนึ่งที่มีอันตรายต่อมนุษย์ เพราะมีนิสัยดุร้ายและมันกินไม่เลือก มันว่ายน้ำได้คล่องแคล่วว่องไวมาก


ในพื้นที่ทะเลของไทยนับได้ว่าเป็นปลาฉลามที่อาจทำร้ายมนุษย์หรือนักดำน้ำได้ร่วมกับ ปลาฉลามหัวบาตร  และ ปลาฉลามครีบดำ  โดยสถานที่ ๆ มีรายงานปลาฉลามเสือทำร้ายนักดำน้ำหรือนักโต้คลื่นมากที่สุด คือ ฮาวาย เชื่อว่าเกิดจากเหตุที่เป็นสถานที่ท่องเที่ยว จึงทำให้ปลาฉลามเสือเห็นกระดานโต้คลื่นผิดไปเป็นแมวน้ำซึ่งเป็นอาหาร ใครเล่นบอร์ดก็ระมัดระวังกันหน่อยนะ



455 PSI ปลาปิรันยาดำ(BLACK PIRANHA)

ในหนองน้ำ แม่น้ำในป่าเต็มไปด้วยสัตว์อันตรายนับไม่ถ้วน ถึงแม้ว่าเราจะไม่มีโอกาสได้เจอพวกมันง่ายๆนัก มีบางคนเลี้ยงเจ้าพวกนี้ไว้ในตู้ปลา อย่าเห็นว่าตัวเล็กกัดไม่เจ็บ เพราะมันเป็นปลาดุร้ายที่กัดได้แรงที่สุด เห็นแล้วอย่าเอามือไปให้มันงับ ขอบอก 


ปลาปิรันยาดำ หรือปลาปิรันยาตาแดง เป็นปลาน้ำจืดที่มีแรงกัดหนักที่สุดในโลก นักวิทยาศาสตร์พบว่าปลาปิรันยาดำ ซึ่งเป็นปลาพื้นเมืองของลุ่มแม่น้ำอเมซอน มันเป็นปลาที่มีแรงกัดหนักที่สุด มันสามารถกัดชิ้นเนื้อให้หลุดออกมาเป็นก้อนโตๆได้ด้วยการใช้กรามอันทรงพลัง มีนักวิจัยจากสหรัฐ อิยิปต์ และบราซิล ทำการศึกษาถึงแรงกัดของปลาปิรันยาในลุ่มแม่น้ำอเมซอนหลายชนิดพบว่า ปลาปิรันยาดำสามารถงับด้วยแรงที่หนักมากกว่าน้ำหนักของตัวมันถึง 30 เท่า หรือ 320 นิวตัน เมื่อเปรียบเทียบตามขนาดร่างกายแล้วมีพลังมากกว่าจระเข้อเมซอนถึง 3 เท่า




1350 PSI ฉลามหัวบาตร(BULL SHARK)

        ฉลามหัวบาตรมีรูปร่างอ้วนป้อม จุดเด่นของมันคือมีหัวโต จัดว่าเป็นปลาฉลามที่อันตรายที่สุด เนื่องจากมีถิ่นที่อยู่อาศัยตามชายฝั่งที่ความลึกประมาณ 30 เมตร ทำให้มันอาจจะพบเจอกับเราได้ง่ายๆ แถมน้ำจืดมันก็ว่ายเข้ามาได้  อย่าคิดว่าอยู่แม่น้ำแล้วจะรอดจากปากฉลาม
ปลาฉลามหัวบาตรมีระบบการรักษาสมดุลเกลือในร่างกายที่สามารถปรับตัวให้อาศัยอยู่ในน้ำจืดได้ ด้วยต่อมบริเวณทวารหนักที่ทำหน้าที่เหมือนวาล์วเปิดปิดปัสสาวะ คอยควบคุมปริมาณเกลือให้สมดุลกับร่างกาย อีกทั้งการที่มีส่วนหัวขนาดใหญ่ทำให้ได้เปรียบกว่าปลาฉลามกินเนื้อชนิดอื่นๆ หัวใหญ่ทำให้ปากใหญ่ไปด้วย และด้วยการที่มีรูรับประสาทสัมผัสที่ส่วนจมูกมากกว่า ทำให้ปลาฉลามหัวบาตรรับรู้สนามไฟฟ้าได้เป็นอย่างดี จนสามารถรับรู้ได้ถึงเสียงหัวใจเต้นของมนุษย์ได้ ดังจะได้เจอในหนังเรื่องจอร์ที่ชอบทำเสียงระทึกเวลาฉลามเข้ามาใกล้ๆ เพราะฉะนั้นอย่าตื่นเต้นเวลาเห็นฉลามเข้ามาใกล้ ถึงแม้ฉลามจะชอบงับคุณ แต่คุณไม่ได้ชอบฉลามงับ อย่างไรก็ตามฉลามหัวบาตรยังไม่สามารถใช้ชีวิตได้อย่างสมบูรณ์ในน้ำจืด ยังคงต้องรับน้ำเค็มในบริเวณปากแม่น้ำเป็นระยะ



        ส่วนพฤติกรรมการล่า ปลาฉลามหัวบาตรมักพุ่งเข้าโจมตีจากทางด้านหลังของเหยื่อโดยใช้ส่วนหัว และกัดเข้าที่ตัวเหยื่อ เพื่อให้เหยื่อไม่สามารถหนีไปได้ นักวิทยาศาสตร์เรียกพฤติกรรมการล่าแบบนี้ว่า ชนแล้วกัด (bump-and-bite) โดยส่วนใหญ่ ฉลามหัวบาตรมักล่าปลากระดูกแข็งที่มีขนาดเล็กกว่าเป็นอาหาร แม้มันจะไม่ค่อยล่าคนแต่ถ้ามันเห็นเราเป็นสิงโตทะเลก็ไม่แน่ มีน้อยครั้งมากที่มีพวกมันล่าเหยื่อที่มีขนาดตัวเอง



4000 PSI ฉลามขาว(Great White Shark)

        Great Whites ได้ชื่อมาเพราะพวกมันมีขนาดใหญ่และมีท้องสีขาวสะอาด ขนาดของมันโดยปกติแล้วคือ 6 เมตร มันจึงเหมาะมากที่จะจับเจ้าฉลามนี้ไปเป็นตัวร้ายในหนัง เพราะมันสามารถกินคุณได้ทั้งตัว ใหญ่พอดีคำแบบไม่ต้องเคี้ยว ถึงมันจะเคี้ยวถ้าถูกกัดเต็มๆก็เนื้อหายไปได้ไม่ยากในการกัดแค่ทีเดียว รูปลักษณ์ของมันที่เป็นจุดเด่นเลยก็คือ มีส่วนบนเป็นสีเทาหินชนวนเพื่อให้กลมกลืนกับพื้นทะเล ส่วนท้องขาว มีหน้าตาที่ดูเหมือนจะยิ้ม เป็นปลารูปร่างตอร์ปิโดที่มีความคล่องตัวและมีหางที่มีรูปร่างห้อยเป็นตุ้มทรงพลังที่สามารถขับเคลื่อนพวกมันผ่านน้ำด้วยความเร็วสูงถึง 25 ไมล์ต่อชั่วโมง นอกเหนือจากการให้แรงขับ กระดูกงูหาง (หาง) ทำหน้าที่เป็นตัวกันโคลง ถึงตัวใหญ่แต่ว่ายน้ำได้เร็ว



        ฉลามขาวมักจะโจมตีเหยื่อที่อยู่บริเวณผิวน้ำ และนี่เองเป็นสาเหตุที่ปลาฉลามขาวโจมตีมนุษย์ที่ว่ายน้ำอยู่ เนื่องจากการเคลื่อนไหวของมนุษย์บนผิวน้ำนั้น ทำให้พวกมันเข้าใจว่าเป็นสิงโตทะเลอาหารหลักของมัน อย่าคิดว่ามันจะเล็งแต่เสริฟบอร์ด ระวังหุ่นของคุณที่ดูคล้ายสิงโตทะเลให้ดี อาจตกเป็นเป้าสายตาได้เช่นกัน แต่ทุกครั้งที่ฉลามขาวกัดเหยื่อ มันจะปกป้องดวงตาของมันโดยการกลับลูกตาไว้ด้านใน ทำให้เห็นลูกตาเป็นสีดำ ฉลามขาวมีประสาทรับกลิ่นที่ไวมาก ทันทีที่ได้กลิ่นคาวเลือด พวกมันจะมา และโจมตีเหยื่อซึ่งไม่เว้นแม้กระทั่งพวกเดียวกันที่บาดเจ็บ





6400 PSI หมึกยักษ์ฮัมโบลต์(HUMBOLDT SQUID)

เห็นเป็นปลาหมึกอย่าคิดว่าทำอะไรเราไม่ได้ โดยส่วนใหญ่หมึกจะไม่ค่อยยุ่งกับคนที่ตัวใหญ่กว่า แต่กับตัวเท่ากัน มันก็ไม่แน่เพราะมันอาศัยอยู่ในที่ลึก คว้าอะไรที่กินได้ก็ต้องเอาไว้ก่อน เมื่อไหร่ที่มันคิดจะล่าเรา ว่ายน้ำหนีไม่ทันแน่นอนเพราะหมึกฮัมโบลต์สามารถว่ายน้ำได้เร็ว 24 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ด้วยวิธีการพ่นน้ำและใช้ครีบ สามารถเดินหน้าและถอยหลังได้ เรือดำน้ำดีดีนี่เอง มันเป็นนักแปลงโฉมสามารถเปลี่ยนสีลำตัวได้ตลอดเวลาตั้งแต่สีขาวจนถึงแดงเข้ม และดำน้ำได้ลึกถึง 1,000 ฟุต เพื่อพักผ่อน ย่อยอาหาร และหลบเลี่ยงสัตว์นักล่า




หมึกฮัมโบลต์มีขนาดใหญ่มากสุดถึง 270 ซม.หนวดของมันอันตรายมีความแหลมคมเหมือนใบมีด นับว่าเป็นสัตว์นักล่าที่สมบูรณ์แบบมากชนิดหนึ่งในทะเล เป็นสัตว์ที่ฉลาดและคล่องแคล่วว่องไว อีกทั้งมีหนวดที่แข็งแรงและแหลมคมเป็นอาวุธ ถือเป็นสัตว์ทะเลอีกชนิดหนึ่งที่สามารถทำร้ายโจมตีมนุษย์ได้ สามารถใช้หนวดดึงบ่าของนักประดาน้ำให้หลุดและลากลงไปในที่ลึกได้ หากสวมชุดประดาน้ำแบบธรรมดาไม่มีเครื่องป้องกันแบบเดียวกับเครื่องป้องกันปลาฉลาม จะถูกทำอันตรายจากปากและหนวดได้เหมือนกับการกัดของสุนัขขนาดใหญ่อย่างเยอรมันเชเพิร์ด และด้วยความใหญ่ของมันจึงเป็นอันตราย เคยมีเรื่องเล่าขานกันในหมู่ชาวประมงแถบทะเลกอร์เตซว่าหมึกฮัมโบลต์ทำร้ายและกินมนุษย์เป็นอาหาร ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 2009 มีนักประดาน้ำ 3 คน เสียชีวิตในทะเลกอร์เตซ โดยศพถูกคลื่นซัดขึ้นฝั่งพบว่าชุดประดาน้ำฉีกขาด และเปื้อนไปด้วยหมึก และภายหลังพิสูจน์ว่าเป็นหมึกจากหมึกฮัมโบลต์




16000 PSI ราชากิ้งก่าแม่น้ำมิวส์(MOSASAURUS)

       พลังการกัดของเจ้าสัตว์ประหลาดใต้น้ำนี้ได้มาจากปากใหญ่ๆกับกรามที่เต็มไปด้วยเขี้ยว เจ้าสัตว์ประหลาดนี้มีสายพันธ์ไปในทางสัตว์เลื้อยคลานดึกดำบรรพ์ที่อาศัยอยู่แต่ในทะเล ส่วนความหมายชื่อของมันคือ "ราชากิ้งก่าแม่น้ำมิวส์"ลักษณะของมันเหมือนกิ้งก่าทะเลยักษ์ผสมงู เชื่อว่ามีวิวัฒนาการมาจากสัตว์กลุ่มกิ้งก่าและงู  ที่รู้จักกันว่า aigialosaurs ช่วงต้นยุค และหลังจากที่มีการวิเคราะห์วิวัฒนาการของมัน โดยดูโครงสร้างขากรรไกรและกะโหลกศีรษะที่ยืดหยุ่นได้ ทำให้นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่ากิ้งก่ากลุ่มนี้น่าจะเป็นญาติใกล้ชิดกับงู มันมีความยาวประมาณ 17.6 เมตร (58 ฟุต) มีรูปร่างคล้ายกิ้งก่าทะเล อาหารได้แก่ ปลา แอมโมไนต์ สัตว์ทะเลขนาดไล่เลี่ยกันหรือใหญ่กว่า และถ้าคนไปเกิดในยุคนั้น ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเราจะเป็นอาหารทานเล่นของมันอย่างแน่นอน กิ้งก่างูยักษ์มีชีวิตอยู่ตั้งแต่ยุคจูแรสสิกจนถึงยุคครีเทเชียท และสูญพันธุ์ไปแล้วพร้อมกับไดโนเสาร์



โมซาซอร์เป็นกิ้งก่าทะเลที่ว่ายน้ำเก่งและสามารถปรับตัวได้ดีเพื่ออยู่ในเขต ทะเลน้ำตื้นและอบอุ่น และแม้แต่ออกลูกในน้ำ มันออกลูกเป็นตัวไม่ต้องขึ้นฝั่งเพื่อไปวางไข่เหมือนเต่าทะเลทั่วไป ส่วนอาหารกินได้ทุกอย่าง รวมถึงพวกทากทะเล หอยและสัตว์ทะเลอื่น ๆ ถึงเราจะไม่เคยดูมันกินแต่จากการวิเคราะห์ของผู้เชี่ยวชาญหรือดูด้วยตาเราเองแล้ว ฟันใหญ่ๆของมันไม่ต่างจากฟันของฉลาม

ตัวเล็กสุดมีขนาดยาวประมาณ 5-9 เมตร ในวงศ์ย่อย ฮาลิซอร์ ส่วนตัวใหญ่สุดยาวระหว่าง 16.8-20 เมตรคือ "ไทโลซอร์รัส" แต่นักวิทยาศาสตร์ชื่อดังหลายคนและข้อมูลบีบีซีเชื่อว่ามันไม่ได้ยาวแค่นั้นและเป็นไปได้ที่อาจยาวถึง30เมตรหรือหนักราว58-74ตันและอาจเคยกินไดโนเสาร์แล้วก็ได้ด้วยกรามที่แข็งแรงมันจึงสามารถกัดเหล็กชั้นหนาจนขาดได้และบางทีมันอาจว่ายน้ำได้ถึง 118 กิโลเมตรต่อชั่วโมงก็ได้ซึ่งเหยื่อที่โมซาซอร์กินก็คือปลาฉลามขาว หมึกยักษ์หรือแม้แต่โมซาซอร์ด้วยกันเองโดยมีชีวิตอยู่ช่วง 65-89 ล้านปีก่อน เจ้าตัวนี้มีปรากฎในหนัง Julassic world ด้วยความใหญ่ของมัน ทำให้กินปลาฉลามได้สบายๆ



19000 PSI ออก้าปลาวาฬเพชรฆาต(KILLER WHALE)

        ถึงแม้วาฬเพชฌฆาตจะตัวเล็กกว่าตัวที่กล่าวมาข้างต้น แต่ด้วยสายพันธ์ของมันที่โตมาจากวาฬที่มีชื่อว่า Orcinus ที่แปลว่า "ของอาณาจักรแห่งความตาย" มันจึงได้ฉายานักฆ่าติดตามมาด้วย ส่วน Orca เป้นชื่อเรียกมาจากยุคโรมโบราณ มันเป็นนักล่าที่ชาญฉลาด ถึงแม้จะไม่มีข่าวว่ามันล่าคนเป็นอาหาร แต่อย่าเผลอยื่นส่วนไหนไปให้มันงับ โดยส่วนมากล่าปลาเป็นอาหาร ไม่ล่าคนแต่อย่าให้มันลองชิมเนื้อคนโดยเด็ดขาด จริงๆแล้ววาฬชนิดแบ่งได้ถึง 3-5 สายพันธ์



 มีพฤติกรรมการล่าสัตว์ไม่เหมือนกัน ในบางสายพันธุ์จะล่าสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในทะเลอย่าง
แมวน้ำสิงโตทะเล หรือแม้กระทั่งวาฬขนาดใหญ่ วาฬเพชฌฆาตเป็นสัตว์สังคม จนได้รับฉายาว่า "หมาป่าแห่งท้องทะเล"โดยสัณนิษฐานได้จากพฤติกรรมทางสังคมที่ซับซ้อนของมัน อย่างเช่น เทคนิคการล่า การส่งเสียงที่สามารถสื่อความหมายระหว่างกันได้ โดยการศึกษาพบว่าวาฬเพชฌฆาตแต่ละฝูงจะมีการส่งเสียงที่แตกต่างกัน แม้จะอยู่ในพื้นที่แถบเดียวกันก็ตาม โดยมีตัวเมียเป็นจ่าฝูงหรือผู้นำฝูง ตัวเมียจะเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์และให้ลูกได้เมื่ออายุ 3 ปี เมื่อล่าปลาแต่ละสปีชีส์ที่แตกต่างกัน วาฬเพชฌฆาตก็จะส่งเสียงที่แตกต่างกันด้วย และยังพบอีกด้วยว่าสมองของมันยังสามารถแสดงออกถึงอารมณ์คล้ายกับมนุษย์ได้อีกด้วย เคยมีข่าวว่าวาฬหงุดหงิดมันจะตบเรากระเด็น ถึงกับนอนโรงพยาบาลเลยทีเดียว
        ว        าฬเพชฌฆาตจัดเป็นนักล่าอันดับต้น ๆ มันกินอาหารราว 227 กิโลกรัม/วัน และมันไม่เคยนอนหลับ แต่จะใช้วิธีว่ายน้ำช้า ๆ แทน ไม่อย่างนั้นมันจะจมน้ำตาย วาฬเพชฌฆาตที่มีอายุมากกว่าจะสอนวิธีการล่าเหยื่อให้แก่วาฬเพฌฆาตที่อายุน้อยกว่า



22000 PSI ปลาเกราะยุคดีโวเนียน(DUNKLEOSTEUS)

        ปลาโบราณหน้าตาน่ากลัวนี้มีชื่อว่า ดังเคิลออสเชียส (Dunkleosteus) คือสกุลของปลาในยุคก่อนประวัติศาสตร์ เป็นปลาทะเลขนาดใหญ่อาศัยอยู่ในปลายยุคดีโวเนียน ราว 380-360 ล้านปีมาแล้ว จัดเป็นปลาที่มีขากรรไกรขนาดใหญ่ ดูเผินๆเหมือนรถขุดดินก่อสร้าง ด้วยกรามและเขี้ยวใหญ่ขนาดนี้ มันสามารถงับสัตว์ตัวหนาๆได้สบายๆ   ในขณะที่มีลำตัวตัวยาว 3-9 เมตร และหนักได้ถึง 3.6-4 ตัน และมีโครงสร้างประกอบด้วยเกล็ดอย่างหนาและแข็งเสมือนชุดเกราะ



        นักวิทยาศาสตร์ของพิพิธภัณฑ์ฟิล์ด มิวเซียม และมหาวิทยาลัยชิคาโก ศึกษาโครงสร้างขากรรไกรของดังเคิลออสเตียสแล้วมีความเห็นว่า ต้องเป็นปลาที่มีพลังในการกัดมหาศาลเหนือกว่าปลาชนิดอื่นใด และเหนือกว่าปลาฉลามทั่วไป และแม้แต่ปลาฉลามขาว โดยมีแรงกดทับสูงถึง 8,000 ปอนด์ต่อตารางนิ้ว ซึ่งความร้ายกาจอันนี้จึงมักจะถูกนำไปเปรียบเทียบกับไดโนเสาร์กินเนื้อเช่น ไทรันโนซอรัส และจระเข้สมัยใหม่เสียมากกว่า จากการศึกษาพบว่ากรามแบบนี้ทำให้มันอ้าปากได้เร็วมากในอัตรา 1 ใน 50 ส่วนของวินาที ซึ่งทำให้มีพลังมหาศาลในการดูดเหยื่อเข้าไป ซึ่งลักษณะพิเศษเช่นนี้นี้ยังพบได้ในปลากระดูกแข็งสมัยใหม่ที่มีพัฒนาการก้าวหน้าโดยส่วนใหญ่



33000 PSI กิ้งก่าทะเลยักษ์(PREDATOR-X)

    กิ้งก่าทะเลยักษ์นี้ มีอีกชื่อว่า Pliosaurus มันเป็นนักล่าใต้น้ำขนาดใหญ่กว่า 8 เมตร จากการตรวจสอบจากเขี้ยวของมันที่มีอายุกว่า 147 ล้านปี แค่เขี้ยวของมันก็ยาวถึง 30 เซนติเมตรแล้ว  และนักวิทยาศาสตร์ได้ประกอบชิ้นส่วนของสัตว์เลื้อยคลานทางทะเลจากเศษกะโหลก 20,000 ชิ้น ประมาณว่าไดโนเสาร์นี้หนัก 45 ตัน  ใหญ่สุดที่ประเมินได้ยาวกว่า 15 เมตร ด้วยสายพันธ์ของมันอยู่ในกลุ่มพวกสัตว์เลื้อยคลาน พรีเดเตอร์ เอกซ์มีครีบขนาดใหญ่ 4 ข้าง ที่ช่วยให้มันเคลื่อนที่ไปข้างหน้า ซึ่งเป็นไปได้ว่าคลีบ 2 ข้างแรกใช้เพื่อเคลื่อนไปช้าๆ ส่วนอีก 2 ข้างใช้เพื่อโจนทะยาน โดยสัตว์ที่เป็นเหยื่อน่าจะเป็นสัตว์ที่คล้ายๆ หมึก ปลาและไดโนเสาร์ที่ว่ายน้ำอยู่ที่บังเอิญขนาดกำลังพอดีปาก



        ด้วยรูปลักษณ์หน้าตาและความใหญ่ของปากมันแล้ว แรงกัดของมันนั้น น่าจะมากกว่าแรงกัดของสัตว์ทรงพลังที่สุดอย่างพวกฉลามในยุคปัจจุบันถึง 10 เท่า และถ้าเทียบแรงกัดกับทีเรกซ์แล้วกัดแรงมากกว่า 4 เท่า นับเป็นนักล่าขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยพบมา



40000 PSI โคตรฉลามยักษ์โบราณ (MEGALODON)

            ตัวร้ายจากในหนังเรื่อง เดอะเม็ก ที่มีแรงกัดมหาศาล เม็กกาโลดอนเป็นสัตว์ประหลาดที่มีชีวิตอยู่ราว 2.3 ถึง 2.6 ล้านปีก่อน (ไมโอซีนตอนต้นถึงไพลโอซีน) มันเคยแหวกว่ายอยู่ในมหาสมุทรในแถบทวีปอเมริกาใต้ ในปัจจุบัน นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า เม็กกาโลดอนกินอาหารไม่เลือก และอาจจะกินวาฬได้ด้วย เนื่องจากมีการขุดค้นพบกระดูกวาฬที่มีรอยฟันคล้ายรอยฟันของปลาฉลามกัด เชื่อว่าเป็นรอยฟันของเม็กกาโลดอน โดยเหยื่อของเม็กกาโลดอนชนิดหนึ่ง คือ ออโดเบ็นโอเซ็ทออป ซึ่งเป็นวาฬในยุคก่อนประวัติศาสตร์ที่มีลักษณะคล้ายนาร์วาฬในยุคปัจจุบัน
        หลักฐานจากรอยกัดบนฟอสซิลกระดูกวาฬและโลมาที่มีชีวิตอยู่ในยุคเดียวกับเม็กกาโลดอนชี้ว่า พวกมันคืออาหารของฉลามยักษ์ดึกดำบรรพ์นี้อย่างแน่นอน นักวิชาการเชื่อว่าเม็กกาโลดอนมีความสามารถในการหาอาหารที่น่าทึ่ง เพราะร่างกายที่ใหญ่โตจึงต้องการอาหารปริมาณมากในแต่ละวัน


        อย่างไรก็ตาม นักวิชาการต่างคาดว่าขนาดตัวที่ใหญ่มหึมา ไม่น่าจะทำให้เม็กกาโลดอนมีนิสัยเป็นผู้ล่าที่ว่องไวมากนัก แต่อาจจะเป็นนักกินซากตัวฉกาจมากกว่า "ฉลามเป็นเผ่าพันธุ์นักฉวยโอกาสอยู่แล้ว ถ้ามันเจอสัตว์ที่ล่าได้ก็จะล่า แต่ถ้าเจอซากก็ไม่ลังเลที่จะกินเหมือนกัน หากเม็กกาโลดอนยังมีชีวิตอยู่ มนุษย์คงไม่ได้อยู่ในสายตาของมัน และเราอาจไม่ได้ถูกมันกัด แต่จะโดนกลืนเข้าท้องไปเหมือนก้อนลูกอมในท้องทะเล

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ค้นหาบล็อกนี้