Funny game for your mobile

8 งูยักษ์ที่ใหญ่ที่สุดในจักรวาล เรียงลำดับจากขนาดที่เล็กที่สุด

 

    เมื่อพูดถึงงูยักษ์ ในโลกของเรานั้นเคยมีงูที่ขนาดใหญ่ที่สุดในโลกเท่าที่มนุษย์รู้จัก TaitanoBoa เป็นงูยักษ์ที่ขนาดของมันกินไดโนเสาร์ทั้งตัวได้สบาย ด้วยความยาวกว่า 15 เมตร มันใหญ่กว่างูอนาคอนดาในป่าอเมซอนซะอีก แต่โชคดีที่มันได้สูญพันธ์ไปแล้ว   
แต่รู้หรือไม่ว่าในตำนานงูทั่วโลกนั้นมีงูที่ใหญ่กว่า TaitanoBoa มากและบางตัวเขมือบดวงดาวได้สบาย มาดูงูยักษ์เหล่านี้กัน เรียงลำดับกันเริ่มจากขนาดที่เล็กที่สุดไปใหญ่ที่สุด


1.Hydra สัตว์ในตำนานกรีก

    ไฮดรา  เป็นสัตว์ประหลาดในเทพปกรณัมกรีก มีลักษณะเด่น คือ มีหลายหัว แต่ละหัวคล้ายงู ไฮดรามีหัวทั้งหมด 9 หัว เมื่อแต่ละหัวที่ถูกตัดจะมีหัวงอกขึ้นใหม่ได้ไม่มีที่สิ้นสุด บางปกรณัมกล่าวว่ามี 100 หัว บ้างก็ว่าไฮดรามีลำตัวคล้ายสุนัข ร่างกายปกคลุมด้วยเกล็ดและมีหางเหมือนมังกร ลมหายใจของไฮดรา มีอันตรายถึงขนาดที่ทำให้ผู้ที่เข้าใกล้ถึงแก่ความตาย ไฮดราเป็นทายาทของไทฟอนและอีคิดนา
    ตามตำนานนั้นผู้ปราบไฮดราก็คือ เฮอร์คิวลิส (Hercules) ซึ่งปฎิบัติตามคำสั่งของยูริทูสให้ไปปราบไฮดรา อสูรกาย 9 หัว(บางตำนานบอกว่าไฮดรามี 10 หัว แต่บางตำนานก็บอกว่ามีมากถึง 100 หัว)
และการที่ลมหายใจของมันมีพิษที่ร้ายแรงนั้น เฮอร์คิวลิสจึงต้องสูดลมหายใจให้เต็มปอดแล้วจึงค่อยวิ่ง เข้าไปสู้โดยเอากระบองฟาดใส่หัวของมัน ด้วยแรงอันมหาศาลของเขา ทำให้หัวของเจ้าไฮดราขาดกระเด็นลงมาหนึ่งหัวแต่หัวของมันก็งอกขึ้นมาใหม่ถึงสองหัว

    แต่ด้วยปัญญาอันชาญฉลาดของเฮอร์คิวลิสเมื่อตัดหัวของไฮดราได้แล้วจึงได้ให้ผู้ช่วยคือ ไอโอลอส (Iolaus)ผู้เป็นบุตรของ อิฟิคลีส (Iphicles) น้องฝาแฝดของเฮอร์คิวลิสโดยให้ไอโอลอสนำไฟลนที่คอของไฮดราเพื่อไม่ให้มีหัวใหม่ งอกออกมาได้


    เมื่อสังหารอสูรกายไฮดราลงได้แล้ว เฮอร์คิวลิสได้เอาลูกธนูที่เทพบุตรอพอลโลประทานให้
จุ่มเลือดของไฮดราเพื่อใช้เป็นศรพิษอาวุธสำคัญในการใช้ปราบอสูรกายตัวอื่นๆต่อไป


2. แบซิลิกก์ (Basilisk)

        ในตำนานและประมวลสัตว์ร้ายของยุโรป แบซิลิสก์  เป็นสัตว์เลื้อยคลานซึ่งถือกันว่า เป็นราชาแห่งงู (king of serpents) และเชื่อกันว่า มีลมหายใจเป็นพิษร้าย และมีแววตาสังหารที่ใครได้จ้องก็ต้องถึงตาย หนึ่งในเอกสารเก่าแก่ที่สุดที่เอ่ยถึงสัตว์นี้ คือ เนเชอรัลฮิสตอรี (Natural History) ของพลินีคนพี่ (Pliny the Elder) ที่ระบุว่า แบซิลิสก์มาจากไซรีนี (Cyrene) เป็นงูตัวเล็กที่ยาวไม่เกิน 12 องคุลี มีพิษสงร้ายแรง เลื้อยไปที่ใดก็ทำลายทุกสิ่งที่ขวางหน้า ทั้งใครมองมันก็จะถึงตาย แต่สัตว์นี้แพ้กลิ่นสาบของวีเซิล เป็นไปได้ว่า ตำนานเรื่องแบซิลิสก์และความสัมพันธ์กับวีเซิลนี้มีที่มาจากงูเอเชียบางชนิด เช่น จงอาง และสัตว์ผู้ล่าอย่างพังพอน


        ในตำนานแรกเริ่มกล่าวว่า บาซิลิสก์มีขนาดเล็กไม่เกิน 1 ไม้บรรทัดเท่านั้น แต่เมื่อเวลาผ่านไป ภาพบาซิลิสก์ยิ่งทวีความน่ากลัวขึ้น โดยตำนานช่วงหลังบรรยายเป็นงูที่มีขนาดยักษ์ บางครั้งมีขา 2 ขาคล้ายไก่ สามารถหายใจออกมาเป็นลูกไฟ และบินได้เหมือนมังกร บาซิลิสก์มักถูกใช้แทนความชั่วร้ายและปีศาจ แม้แต่ในคัมภีร์​ไบเบิล บาซิลิสก์ยังถูกใช้เป็นสัญลักษณ์แทน ซาตาน เทวดาที่ถูกครอบงำด้วยความโลภในอำนาจและต้องการเป็นผู้ปกครองสวรรค์แต่เพียงผู้เดียว จนถูกพระเจ้าเนรเทศจนตกสวรรค์ แต่ถึงกระนั้น ซาตานยังปลอมตัวเป็น 'เทพแห่งแสงสว่าง' เพื่อหลอกลวงมนุษย์อยู่เรื่อยไป 



        การปรากฏตัวของบาซิลิสก์มักก่อตัวเป็นบรรยากาศน่ากลัว และนำความพังพินาศไปทุกที่ที่เยื้องกรายไป เสียงร้องของบาซิลิสก์อาจทำให้ผู้คนเป็นบ้า พิษของมันทำให้พืชพันธุ์เน่าเปื่อย น้ำเน่าเสีย และยังมีความเชื่อเก่าแก่ของชาวโรมันที่ว่า บ้านเมืองที่เคยรุ่งเรืองและอุดมสมบูรณ์​กลายเป็นทะเลทรายอันแห้งแล้งก็เพราะมัน การเผชิญหน้ากับบาซิลิสก์ตรง ๆ ไม่ต่างกับการฆ่าตัวตายดี ๆ เพราะพิษร้ายนั้นทำให้คนสิ้นชีวิตได้โดยการกัดหรือสัมผัสเพียงครั้งเดียว และการพ่นพิษตรง ๆ เข้าไปที่ตา ทำให้บาซิลิสก์สามารถเอาชนะแม้กระทั่งศัตรูที่มีขนาดใหญ่กว่าตัวเอง อย่างไรก็ตาม ยังมีความเชื่อกันว่าบาซิลิสก์จะพ่ายแพ้ต่อพังพอน เสียงขันของไก่ตัวผู้ และการเห็นเงาของตัวมันเอง หลายตำนานจึงใช้เงาสะท้อนเพื่อสังหารบาซิลิสก์ เช่น พระเจ้าอเล็กซานเดอร์ที่ 3 หรือ อเล็กซานเดอร์ เดอะ เกรท ใช้กระจกเพื่อปกป้องกองทัพจากบาซิลิสก์ หรือ เซนต์จอร์จที่ฆ่าบาซิลิสก์โดยใช้เงาจากโล่ของเขา แต่การลอบสังหารบาซิลิสก์ยังต้องทำด้วยความระมัดระวัง เพราะหากมนุษย์คนใดพลาดท่าเผลอสบตาสัตว์ร้ายนี้ ไม่ว่าจะเป็นการมองตรงเข้าไปในตาของมันหรือเงาสะท้อน จะถูกสาปให้กลายเป็นหิน

                                        3.อิมูกิ (이무기)

        อิมูกิ เป็น สัตว์ในตำนานของเกาหลี ที่มีลักษณะเป็น งูขนาดใหญ่ ที่อาศัยในน้ำลึก เป็นสิ่งมีชีวิตที่ผสมผสานพลังของสัตว์ต่างชนิดหลายพันธุ์ ที่มีพลังสามารถเปลี่ยนร่างของตนเองได้ ซึ่งชาวเกาหลีโบราณเชื่อว่า อิมูกิ เป็นร่างกำเนิดของมังกร แต่ก่อนจะได้กลายเป็นมังกรสมปรารถนา อีมูกิต้องตามหา ‘เยียวอีจู’ ไข่มุกที่มีพลังจากสวรรค์ที่สามารถทำให้กลายร่างเป็นมังกรอย่างสมบูรณ์ได้ ก่อนที่ ‘บุราคิ’ งูยักษ์ชั่วร้ายจะมาเจอ
        
        บางความเชื่อได้กล่าวไว้ว่า อิมูกิ คือ สัตว์ประหลาด ที่เกิดมามีรูปร่าง คล้ายมังกร แต่ถูกสาปไม่ให้เป็นมังกรตลอดชีวิต บ้างก็บอกว่า อิมูกิ เป็นร่างดั้งเดิมของมังกร ที่จะต้องใช้ชีวิตอยู่รอดให้ครบถึง 1,000 ปีเสียก่อนจึงจะเติบโตเป็นมังกรโดยสมบูรณ์ได้ ชาวเกาหลีส่วนใหญ่เชื่อว่าอิมูกิ เป็นงูยักษ์จิตใจดี รักสันโดษ อาศัยอยู่ตามถ้ำและในน้ำ หากใครได้เจอ อิมูกิ ตัวเป็นๆ ก็จะได้รับโชคดีอีกด้วย
        

4.ยามาตะ โนะ โอโรจิ(八岐の大蛇)

ยามาตะ โนะ โอโรจิ มีลักษณะเป็นงูขนาดใหญ่ ร่างกายของมันใหญ่ปานขุนเขา มีหัวแปดหัว (ด้วยเหตุนี้ จึงชื่อว่ายามาตะ หมายถึง แปดง่าม คือมีหัวทั้งแปด งอกออกมาจากง่ามทั้งแปด) และสามารถพ่นไฟได้ เมื่อยามาตะ โนะ โอโรจิ ปรากฏตัวขึ้น ไม่ว่าจะไปยังหมู่บ้านใดๆ ก็ตาม จะเกิดการสูญเสียทั้งชีวิตคน และสัตว์เป็นจำนวนมาก แต่ละหมู่บ้านที่ยามาตะ โนะ โอโรจิ จะผ่านไปนั้น จึงต้องคัดเลือกหญิงสาวมาสังเวยให้แก่ปิศาจงูยักษ์นี้ เพื่อทำมันพึงพอใจ จะได้ไม่มาทำลายหมู่บ้าน
        ยามาตะ โนะ โอโรจิ (八岐の大蛇) คือสัตว์อสูรยักษ์ตามตำนานเรื่องเล่าขานของญี่ปุ่นมาตั้งแต่สมัยโบราณ  กล่าวกันว่าในยุคแห่งการสร้าง “เทพฮิซานางิ” (イザナギผู้เป็นบิดาเทพและ “เทพอิซานามิ” (イザナミผู้เป็นทั้งมารดาเทพและน้องสาวได้ทำการสร้างโลกมนุษย์หรือประเทศญี่ปุ่นตามความเชื่อ  จากการกวนน้ำทะเลให้แผ่นดินโผล่ขึ้นมาจากใต้ทะเล  แต่ก็ได้ทำให้สัตว์อสูรขนาดยักษ์อย่าง “ยามาตะ โนะ โอโรจิ” ถือกำเนิดขึ้นมาด้วยพร้อมๆ กัน
        ยามาตะ โนะ โอโรจิ นั้นเป็นสัตว์ประหลาดที่มีหัวเป็นมังกรทั้งแปด พ่นไฟได้ มีร่างกายที่ใหญ่เท่าๆ กับภูเขาขนาดมหึมาแปดลูก  ถึงมันจะเป็นสัตว์ประหลาดแต่มีปัญญาที่ไม่ด้อย รวมถึงมันยังมีนิสัยที่ดุร้าย ชื่นชอบการทำลายล้าง  มันทำลายล้างหมู่บ้านทั้งเจ็ดที่ขวางทาง  หากหมู่บ้านไหนยอมที่จะสังเวยหญิงสาวบริสุทธิ์หมู่บ้านนั้นจะได้รับการละเว้นจากน้ำมือของมัน  (หากบ้านไหนมีลูกสาวแล้วจู่ๆ ในวันหนึ่งมีลูกธนูปักอยู่บนหลังคาบ้าน  นั่นเป็นการบอกว่ายามาตะ โนะ โอโรจิได้เลือกลูกสาวบ้านนั้นนั่นเอง)

        เมื่อโลกมนุษย์ถูกเจ้าอสูรร้ายตนนี้รุกราน  ร้อนถึงเหล่าเทพเจ้าบนสรวงสวรรค์ตามปกรณัมของญี่ปุ่นที่ต้องลงมาปราบมัน  แต่ทว่ามันสามารถต่อกรกับเหล่าเทพเจ้าได้อย่างไม่เกรงกลัว และเมื่อไม่มีเทพองค์ไหนสามารถกำราบความเหิมเกริมของมันได้ เทพแห่งวายุอย่าง “สุซาโนโอะ โนะ มิโคโตะ” (須佐之男命จึงได้อาสาในการกำราบมัน  แต่วิธีการของสุซาโนโอะเป็นเทพที่ไร้ซึ่งพลังแต่เป็นนักวางแผน เทพทำการ “มอมเหล้า” เจ้าอสูรยักษ์นี้ เทพสุซาโนโอะได้เดินทางมาที่หมู่บ้านแห่งหนึ่งและได้เครื่องบรรณาการเป็นหญิงสาวและตั้งสุรารอไว้ 
สุซาโนโอะ
        เมื่อยามาตะ โนะ โอโรจิมาถึงหมู่บ้านแห่งที่แปดซึ่งเป็นหมู่บ้านที่สุซาโนโอะรอจัดการมันอยู่ มันก็ได้ไล่ดื่มสุราทั้งแปดที่ตระเตรียมภายในค่ายกลที่เป็นประตูทั้งแปด  แล้วใช้เงาของหญิงสาวที่ซ่อนอยู่ภายในค่ายกลเป็นตัวล่อจนเมามาย  ในที่สุดมันก็ถูกสุซาโนโอะสังหาร ด้วยการตัดหัวทั้งแปดให้ขาดสะบั้นลง
        และเมื่อ ยามาตะ โนะ โอโรจิตายลง… ได้มีแสงสว่างปรากฏตรงที่ปลายหางของมัน  สุซาโนโอะจึงได้ทำการผ่าหางของมันออกมาแล้วพบว่ามี “ดาบคุซานางิ” (草薙の剣อยู่ภายใน  สุซาโนโอะจึงได้นำดาบเล่มนี้มาถวายแก่เทพีอามาเทราสุ (天照) ผู้เป็นสุริยเทพเพื่อเป็นการขอขมาไถ่โทษ  เทพีอามาเทราสุคือต้นตระกูลขององค์จักรพรรดิญี่ปุ่นที่สืบเชื้อสายรุ่นต่อรุ่นมาจนถึงปัจจุบัน  และดาบคุซานางิก็คือของสืบทอดในราชวงค์เท่านั้น

“ดาบคุซานางิ”




5.Jörmungandr(World Serpent)

    มาถึงงูที่ใหญ่ที่สุดสามารถโอบล้อมภูเขาทั้งโลกได้ จอร์มันแกรนงูที่ตอนเกิดมีขนาดเล็กแต่ไม่นานโตขึ้นกลับมีขนาดใหญ่จนโอบล้อมภูเขาทั้งโลกได้จนมีชื่ออีกชื่อว่า world Serpent 
        ตำนานนอร์ส  จอร์มันแกรน 1 ใน3 สัตว์ประหลาดแห่งสแกนดิเนเวีย บ้างเรียก มิดการ์ดโซร์เมอร์ (Miðgarðsormr; "พญานาคมิดการ์เดอร์") เป็นงูยักษ์หรือโลกาอสรพิษแห่งมิดการ์เดอร์ เป็นหนึ่งในบุตรของโลกีกับนางยักษ์อังเกอร์โบดา (Angrboða) และเป็นพี่น้องกับเฟ็นรีร์และเฮ็ล เป็นหนึ่งในลางบอกเหตุที่จะทำให้เกิดวันแร็กนาร็อกขึ้นตามคำทำนาย จึงถูกโอดินน์โยนลงทะเลในดินแดนมนุษย์ ก่อนที่ตัวมันจะใหญ่ขึ้นจนโอบรัดโลกได้ จากคำทำนายในวันแร็กนาร็อก งูยักษ์จะสู้กับเทพธอร์ และถูกเทพธอร์กำจัดไปในที่สุด
        ศัตรูของจอร์มันแกรนคือเทพเจ้าธอร์ ซึ่งตามตำนานเทพเจ้า ธอร์ได้พบกับงูแห่งโลกและมีการต่อสู้กัน 3 ครั้งก่อนที่ทั้งงูและเทพเจ้าจะตายตามตำนานโลกล่มสลาย แร็กนาร็อก
        โดยในครั้งที่หนึ่งนั้น ธอร์ได้เจอเข้ากับกษัตริย์ยักษ์ Útgarða-Loki ซึ่งตั้งเงื่อนไขให้ธอร์ยกแมวที่เป็นร่างแปลงของจอร์มันแกรนให้ขึ้น ปรากฏว่าธอร์สามารถยกแมวร่างแปลงที่มีน้ำหนักมากมายมหาศาลขึ้นได้สำเร็จ แถมยังสามารถยกได้ไกลพอที่ร่างแมวจะปล่อยเท้าข้างที่ เกี่ยวขอบโลกไว้ได้ เมื่อยักษ์ Útgarða-Loki เฉลยว่าแมวคือจอร์มันแกรนนั้น การต่อสู้ครั้งแรกก็ถือว่าธอร์เป็นผู้ชนะอย่างน่าประทับใจ


    การต่อสู้ครั้งที่สอง เกิดขึ้นเมื่อธอร์ไปตกปลากับยักษ์นามว่า Hymir  เมื่อ Hymir ได้ปฏิเสธที่จะติดเหยื่อล่อให้กับธอร์ ธอร์จึงนำหัวของวัวตัวที่ใหญ่ที่สุดมาใช้แทนเหยื่อล่อ และพายเรือไปยังจุดที่ Hymir ตกได้ปลาขนาดใหญ่ เมื่อธอร์ตกปลาวาฬได้ถึง 100 ตัว ธอร์ยืนยันที่จะลงไปใต้น้ำลึก 
    จากนั้นธอร์ก็ได้เตรียมเชือกและตะขอที่แข็งแกร่งเพียงพอเอาไว้ เมื่อจอร์มันแกรนงับเบ็ด ธอร์กระชากงูยักษ์ขึ้นมาจากน้ำ ซึ่งทั้งสองก็ได้พบหน้ากันอีกครั้ง จอร์มันแกรนหลั่งพิษร้ายและเลือดจำนวนมากออกมาจนชโลมไปทั้งมหาสมุทร จนทำให้ Hymir ตัวซีดขาวด้วยความกลัว แต่ก่อนที่ธอร์จะจับค้อนของเขาเพื่อฆ่าเจ้าอสรพิษร้าย Hymir กลับตัดเชือกที่รั้งงูร้ายไป ในที่สุดงูยักษ์ก็ดำดิ่งสู่ใต้ทะเลหายไปกับคลื่นยักษ์


    ครั้งสุดท้ายที่ธอร์และจอร์มันแกรนเจอหน้ากันคือเมื่อสงครามแร็คนาร็อกอุบัติขึ้น เทพธอร์ถูกทำนายไว้ว่า เมื่อสงครามได้เริ่มต้นขึ้น อสรพิษจะปรากฏตัวขึ้นมาจากท้องทะเล มันจะพ่นพิษกระจายเต็มฟากฟ้า ทุกคนที่ถูกพิษนั้นก็จะตาย แม้
แต่ธอร์เองก็ถูกก็ทนพิษไม่ไหว เดินได้เพียง 9 ก้าวเท่านั้น ก่อนที่จะล้มตายตามงูยักษ์ไป


6.วาสุกรีนาคราช

        พญาวาสุกรี 1ในพญานาคที่ใหญ่ที่สุด มียศฐาบรรดาศักดิ์เป็นกษัตริย์ มีพิษที่ร้ายแรงและมีขนาดใหญ่ขนาดสั่นสะเทือนมหาสมุทรได้ โดยส่วนมากเรามักจะรู้จักเพราะเป็นงูที่คล้องคอพระศิวะ และมีตำนานที่รู้จักกันดีคือ พระยาวาสุกรีกวนเกษียรสมทุรเพื่อทำน้ำอมฤต
       โดยวาสุกรี เป็นกษัตริย์นาคาอันยิ่งใหญ่อีกองค์หนึ่งจากคัมภีร์ปุราณะ พญาวาสุกรีนาคราชเป็นบุตรของพระกัศยปมุนีและนางกัทรุ และเป็นพี่น้องกับ พญาอนันตนาคราช (พญานาคราชคู่บารมีของพระวิษณุ) มีพระเหสีชื่อ สุนีย์จิณดา พญาวาสุกรีเป็นนาคราชที่พระศิวะใช้เป็นสายธนูในการทำลายล้างเมืองตรีปุระ ในตำนานที่พระศิวะปราบตรีปุราสูร มีบางตำนานกล่าวว่างูที่พันรอบพระศอขององค์พระศิวะก็คือวาสุกรีนาคราช ในอินเดียตอนเหนือ มีการนับถือพญาวาสุกรีเป็นอย่างมากในฐานะเทพเจ้าองค์หนึ่ง ในพิธีนาคปัญจมีซึ่งเป็นพิธีบูชางูของอินเดีย ก็จะมีการบูชาพญาวาสุกรีร่วมด้วย

        แต่ตำนานที่ทำให้พญาวาสุกรีเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย ได้แก่ ตำนานกวนเกษียรสมุทร ซึ่งเป็นตำนานยิ่งใหญ่ที่อยู่ในมหากาพย์มหาภารตะของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ตามตำนานเป็นเรื่องราวการต่อสู้ของเหล่าเทวดาและอสูร ที่มีการสู้รบเพื่อแย่งชิงสวรรค์กันมาอย่างต่อเนื่องและยาวนาน ในครั้งหนึ่งเทวดาอ่อนแอและมีทีท่าจะเพลี้ยงพล้ำให้กับอสูร พระอินทร์จึงได้ไปขอความช่วยเหลือต่อพระวิษณุ ซึ่งพระวิษณุได้แนะนำให้ไปทำพิธีกวนเกษียรสมุทรในทะเลน้ำนม เพื่อให้ได้น้ำอมฤตมาดื่มจะได้มีพลังและเป็นอมตะ แต่การกวนเกษียรสมุทรเป็นเรื่องที่ยากมากและเหล่าเทพไม่มีกำลังพอที่จะกระทำได้ฝ่ายเดียว จึงออกอุบายไปชวนเหล่าอสูรมาร่วมพิธีการกวนเกษียรสมทุรและสัญญาจะแบ่งน้ำอมฤตให้ (โดยเหล่าเทวดาได้วางแผนที่จะหักหลังเหล่าอสูรในตอนท้าย)
        เมื่อเริ่มพิธีกวนเกษียรสมุทร พระวิษณุได้เสด็จมาเป็นองค์ประธาน เหล่าอสูรได้ถอนภูเขามันทรคีรีมาเพื่อใช้เป็นไม้กวน และอัญเชิญพญาวาสุกรีนาคราชมาพันรอบเขามันทรคีรีเพื่อจะใช้ลำตัวเป็นเชือกในการชักเพื่อกวนเกษียรสมุทรในครั้งนี้ เหล่าเทวดาได้ให้อสูรมาทำการชักอยู่ทางส่วนเศียรของพญาวาสุกรี โดยตนเองทำการชักทางส่วนหาง เพราะรู้ว่าเมื่อทำการชักนาคเมื่อไร พญานาคจะต้องเจ็บปวดและพ่นพิษออกมาแน่นอน ทั้งเทวดาและอสูรต่างก็ช่วยกันดึงเขามันทรคีรีเพื่อกวนทะเลน้ำนมอย่างเต็มกำลัง ในระหว่างที่พิธีกวนเกษียรสมุทรได้ดำเนินไปอย่างยาวนาน ภูเขามันทรคีรีก็เริ่มสั่นคลอนจากการที่ถูกแรงดึงเสียดสีมานาน พระวิษณุทราบความจึงรีบอวตารไปเป็น “เต่า กูรมาวตาร” (ซึ่งเป็นปางหนึ่งของพระนารายณ์ จากนารายณ์สิบปาง) เพื่อหนุนก้นภูเขาให้ตั้งตรงดังเดิม ส่วนพญาวาสุกรีก็เหนื่อยล้าและเจ็บปวดจากการที่ถูกเสียดสี จึงได้อ้าปากคายพิษเป็นไฟกรดออกมา ส่งผลให้เหล่าอสูรโดนพิษของพญานาค (ในบางตำรากล่าวว่า ด้วยเหตุนี้อสูรจึงมีหน้าตาตะปุ่มตะป่ำ และมีผิวที่ไหม้เกรียม) มีครั้งหนึ่งที่พญาวาสุกรีเกิดอาการเจ็บปวดมากจึงได้คายพิษอันรุนแรงออกมา ซึ่งพิษในครั้งนี้จะสร้างความเดือดร้อนให้กับทั้งสามโลกได้ พระศิวะเมื่อทราบ จึงทรงรีบมาอ้าพระโอษฐ์เพื่อดูดกลืนพิษร้ายเข้าไปในพระอุระทันที เป็นเหตุให้พระศอของท่านไหม้เกรียมจนเป็นสีดำดังนิล จากเหตุนี้พระศิวะจึงมีอีกพระนามว่า “นิลกัณฐ์” (อันแปลว่า ผู้มีคอดำ)


7.อนันตนาคราช

        พาหนะคู่บารมีของพระนารายณ์ คำว่าอนันตะมีความหมายว่า อนันต์ ไร้จุดจบ มีความยาวมากถึงขนาดว่าสามารถพันรอบโลกได้แต่เดิมพญานาคราชมีพระนามเดิม ว่าพญาเศษะ นาคราช ทรงเป็นโอรสองค์แรกของพระกัศยปะ และ นางกัทรุ พญาอนันตนาคราชเป็นใหญ่ในเมืองบาดาลเป็นราชาแห่งนาคทั้งปวงในเกษียรสมุทรและ ได้ตามเสด็จพระนารายณ์เสมอ
    เล่ากันว่าอนันตนาคราช มีกายที่ใหญ่โตมหึมามีความยาวไม่สิ้นสุด  มี ๑๐๐๐ เศียร อนันตนาคราช เกิดทั้งในน้ำและบนบก  เกิดจากครรภ์และจากไข่     มีอิทธิฤทธิ์สามารถบันดาลให้เกิดคุณและโทษได้ และอนันตนาคราชสามารถจะแปลงร่างเป็นเทพบุตรหรือเทพธิดารูปร่างสวยงาม กล่าวว่าทางฝั่งไทยและฝั่งลาวต่างมีกษัตริย์แห่งนาคราช หรือ นาคาธิบดี แยกปกครองดูแล 
    พญาอนันตนาคราช เป็นพญานาคประจำองค์พระนารายณ์หรือพระวิษณุ ผู้เป็นแท่นบรรทมขององค์พระนารายณ์ ที่ครอบครองเกษียรสมุทร (ทะเลน้ำนม) เป็นพญานาคราชที่อยู่ในตระกลูฉัพพะยาปุตตะมีพระวรกายเป็นสีขาว ปล้องพระนาภี(ท้อง)และพระเศียรเป็นสีทอง มีพระมเหสีคือนางพญาอุษาอนันตนาวดีซึ่ง
เป็นพญานาคิณีประจำองค์พระแม่ลักษมี ซึ่งพระแม่ลักษมีนี้เป็นพระมเหสีของพระนารายณ์หรือพระวิษณุ
        อนันตนาคราชขดตัวอยู่กลางเกษียรสมุทร เป็นแท่นบรรทมให้พระนารายณ์ หลังจากที่พระนารายณ์ปราบผู้ที่มารบกวนเทวดาและมนุษย์ได้แล้ว อนันตนาคราชสามารถพ่นพิษเป็นไฟบัลลัยกัลป์ล้างโลกได้เมื่อถึงเวลาสิ้นอายุ ของโลก ตามเรื่องราวรามเกียรติ เมื่อพระนารายณ์อวตารมาเป็นพระรามเพื่อปราบทศกัณฐ์ อนันตนาคราชก็มาเกิดเป็นพระลักษมณ์ช่วยพระรามทำสงครามกับทศกัณฐ์ด้วย

8.Apophis (พญางูยักษ์แห่งอิยิปต์)

        มาถึงงูขนาดใหญ่ที่สุดขนาดกลืนกินดาวเคราะห์ จากเรื่องเล่าที่งูยักษ์ต้องผจญกับเทพขณะบินอยู่กลางฟ้า และมีความเป็นอมตะ อาโปฟิส หรือ อาเปป-Aapep คือพญางูตามตำนานของชาวอียิปต์ เล่าว่าอาโปฟิสมีรูปร่างเป็นงูใหญ่แต่บางทีก็ระบุว่าเป็นมังกรยักษ์ แต่ไม่ว่าจะอย่างไรชาวอียิปต์ส่วนใหญ่ก็นับว่าอาโปฟิสคือเทพองค์หนึ่ง ถึงจะเป็นเทพผู้ชั่วร้ายตัวแทนแห่งความวุ่นวายก็ตามที

        ตามเทพนิยายของชาวอียิปต์โบราณ อาโปฟิสถือเป็นศัตรูตัวฉกาจของมวลมนุษย์และเป็นคู่ปรับตนสำคัญของสุริยเทพรา เท่าที่มีการระบุเล่า เทพราเองจะต้องขับเรือหรือราชรถข้ามผ่านฟากฟ้าทุกวัน เริ่มจากทิศตะวันออกไปยังทิศตะวันตก และเมื่อมาถึงขอบตะวันตก(ซึ่งตามความเชื่อเขตบริเวณนี้ก็คือนรก) อาโปฟิสจะโผล่ออกมาและทำการสู้รบกับองค์รา


        โดยราต้องโรมรันกับอาโปฟิสทุกวัน และหากคราวใดฝ่ายเทพพลาดพลั้งเสียทีอาโปฟิส ก็จะเกิดเหตุอาเพศต่างๆ เป็นต้นว่าเกิดพายุฟ้าคะนอง แผ่นดินไหวขึ้น หรือถ้าอาโปฟิสสามารถเขมือบเรือสุริยันได้กลางวันแสกๆ ก็จะเกิดเป็นสุริยุปราคาขึ้น แต่เพราะเหล่าเทพอารักษ์ล้วนมีความสามารถมาก จึงสามารถช่วยให้เทพราออกมาเป็นอิสระได้อย่างรวดเร็ว สุริยุปราคาจึงมักจบลงภายในเวลาเพียงไม่กี่นาที  แม้ว่าเทพราจะสามารถสังหารอาโปฟิสลงได้คราใด มันก็จะฟื้นคืนชีวิตขึ้นในค่ำคืนนั้นทุกครั้ง

 


        อาโปฟิสไม่ได้มีดีแต่ขนาดร่างกายและอมตภาพของมันเท่านั้น อิทธิฤทธิ์ของมันเองก็ร้ายกาจไม่เป็นรองมังกรแห่งความมืดจากตำนานอื่นๆเลย มันสามารถใช้ดวงตาของมันสะกดเหล่าเทพทั้งหลายรวมทั้งราให้ตกอยู่ใต้อำนาจของ มันได้ แต่พลังนี้กลับใช้ไม่ได้ผลกับเทพเซต ผู้สามารถต้านทานอำนาจของมัน และตอบโต้มันด้วยการแทงหอกเข้าใส่ ด้วยเหตุนี้เอง เทพเซต "Seth" จึงเป็นเทพที่โดดเด่นที่สุดในบรรดาเทพที่ติดตามราไปกับเรือสุริยัน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ค้นหาบล็อกนี้