Funny game for your mobile

พบปะซานตาครอสตัวเป็นๆ และประวัติซานตาครอสตัวจริง


     ชายแก่นักบุญผู้ใจดี สวมชุดโค้ดแดง คอเสื้อสีขาว ที่เอวคาดเข็มขัดหนังและรองเท้าบูทสีดำ มีเอลฟ์คอยช่วยทำของขวัญเพื่อนำไปแจกเด็กๆ ขี่กวางเรนเดียร์ 8 ตัว เหาะไปตามบ้านที่มีเด็กๆนิสัยดี แล้วซานต้าก็จะโรยตัวเข้ามาทางปล่องไฟเพื่อที่จะแจกของขวัญให้แก่เด็กๆเหล่านั้นในช่วงเย็นและข้ามคืนวันคริสต์มาสอีฟ ราวๆวันที่ 24 ธันวาคม อาจจะเป็นเรื่องที่เด็กเล็กๆบางคนยังเชื่ออยู่ ก็ฟังมาจากพ่อ แม่ นั่นแหล่ะ แต่บางทีผู้ใหญ่เวลาอยากให้เด็กทำตัวหน้ารัก ก็ต้องล่อด้วยของขวัญ ที่บ้านมีใครหลอกเด็กว่าถ้าทำตัวดีดี ปีใหม่จะมีของมาเซอไพรซ์บ้างรึเปล่า ถึงแม้ซานต้าจะเป็นเรื่องแต่งก็จริง แต่บ้านของซานต้ามีอยู่จริงนะ และเราสามารถไปเยี่ยมซานตาครอสได้จริงๆที่ บ้านซานต้า - Rovaniemi, Finland 


                                                                     กำเนิดซานต้า 

     มีตำนานได้กล่าวไว้ว่า ซานตาคลอส ก็คือเซนต์ นิโคลัส ผู้เป็นสังฆราชแห่งเมืองไมรา มีชีวิตอยู่ในราวคริสตศตวรรษที่ 4 เป็นคนจิตใจดี ชอบช่วยเหลือคนยากไร้ และเป็นผู้ที่มีคนรู้จักกว้างขวางคนหนึ่ง 

        แต่แล้ววันหนึ่งก็เกิดวีรกรรมของนักบุญผู้ชอบให้ของขวัญ แอบใส่ของขวัญในถุงเท้าวันคริสตมาสให้แก่เด็กๆ เรื่องมีอยู่ว่า วันหนึ่งนักบุญนิโคลัส เกิดสงสารครอบครัวเด็กหญิงคนหนึ่งที่แสนยากจน และด้วยความมีน้ำใจ เขาได้แอบปีนขึ้นไปบนหลังคาบ้านของครอบครัวเด็กหญิงคนนี้ และหย่อนถุงเงินลงไปทางปล่องไฟ แต่แล้ว ถุงเงินก็ได้ตกใปในถุงเท้าที่เด็กหญิงแขวนไว้ข้างเตาผิงพอดี บัญเอิญสุดสุด ทางครอบครัวเด็กหญิงจึงแปลกใจว่าผู้ใดกัน มาช่วยเหลือพวกเขา และได้ทราบต่อมาในภายหลังว่าคือนักบุญนิโคลัสนั่นเอง หลังจากนั้นเมื่อเรื่องราวของเซนต์ นิโคลัสพูดถึงกันรุ่นต่อรุ่น ชาวคริสต์ก็นิยมแขวนถุงเท้าไว้และใส่อาหาร ขนมไว้ข้างใน ต่อมาได้กลายมาเป็นของขวัญวันคริสต์มาส




        เซนต์ นิโคลัส ได้เผยแผ่ศาสนา และอุทิศชีวิตให้กับศาสนาคริสต์จนมีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่ว ท่านได้เสียชีวิตในวันที่ 6 ธันวาคม ราว ค.ศ.340 โดยผู้คนได้สร้างโบสถ์เพื่อเก็บกระดูกท่านไว้ ที่เมืองไมรานี้เอง ก็มีเรื่องอัศจรรย์เกิดขึ้น ปรากฏการณ์มหัศจรรย์นั้นก็คือ มีน้ำมนต์ไหลออกมาจากกระดูกของท่าน

    ต่อมา ชาวเมืองบารี่เมืองเล็กๆในอิตาลี ต้องการหาสิ่งดึงดูดนักท่องเที่ยวให้กับเมืองตัวเอง จึงได้จ้างนักโจรกรรม ไปขโมยกระดูกของเซนต์นิโคลัส มายังเมืองบารี่ เมื่อการโจรกรรมสำเร็จ ชาวบารี่ได้สร้างโบสถ์บรรจุกระดูกของท่าน เหตุการณ์มหัศจรรย์ น้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์ ก็ได้ไหลออกมาจากกระดูกเช่นเดียวกัน เมื่อนักบุญที่มาเคารพกระดูกท่านได้นำน้ำมนต์นี้มาใช้รักษาโรค ก็รักษาได้ผลชะงัก จากนั้น ที่แห่งนี้ก็กลายเป็นสิ่งดึงดูดคนได้อย่างล้นหลาม กระทั่งในคริสต์ศตวรรตที่ 12 ชาวเมืองฝรั่งเศสได้กำหนดวันที่ 6 ซึ่งเป็นวันมรณภาพของเซนต์นิโคลัส ให้เป็น “วันเซนต์นิโคลัส” และได้นำถุงเท้าที่ใส่อาหาร ขนมไปแขวนไว้หน้าบ้านของคนยากไร้ตามแบบอย่างท่าน ก่อนที่ประเพณีนี้จะแพร่อย่างรวดเร็วไปทั่วยุโรป และแพร่หลายไปในสหรัฐอเมริกา ก่อนที่จะได้มีการผนวกวันเฉลิมฉลองเซนต์ นิโคลัส เข้ากับวันคริสต์มาส



ที่มาของชื่อซานตาครอส

    ทีนี้ซานตาครอส มาจาก SinterKlass  เป็นภาษาดัตช์ ที่มาจากเทศกาลซินเตอร์กลาสในเนเธอแลนด์ เป็นเทศกาลที่เฉลิมฉลอง จัดงานรื่นเริงให้กับเด็กๆพร้อมทั้งมีการให้ของขวัญ โดยเทศกาลนี้มีความหมายต่อเด็กๆมากจริงๆ เพราะจะเป็นวันที่เด็กๆมีความสุขและได้รับของขวัญ หากทำตัวเป็นเด็กดี โดยเทศกาลนี้จัดขึ้ันในวันที่ 5 ของทุกปี  SinterKlass จะเดินทางมาทางเรือเพื่อมอบของขวัญแก่เด็กๆชาวเนเธอแลนด์ ระหว่างที่เรือเดินผ่าน ทางชาวเมืองและเด็กก็จะได้ตื่นเต้น ร้องรำทำเพลงกันอย่างมีความสุขเพื่อเป็นการทักทาย เมื่อประเพณีนี้ได้รับความนิยมในยุโรปมาจนถึงอเมริกาต่อมาภายหลัง จึงถูกเรียกว่าซานตาครอส



    รูปลักษณ์ของซานตาครอส แท้จริงไม่ใช่ชายแก่อ้วน หนวดเคราขาวใส่ชุดสีแดงอย่างแน่นอน มีบันทึกไว้ว่า ภาพลักษณ์นี้ได้รับความนิยมในสหรัฐอเมริกาและแคนาดาในคริสต์ศตวรรษที่ 19 เนื่องจากอิทธิพลจากกวี "การมาเยี่ยมจากนักบุญนิโคลัส" ของคลีเมนต์ คลาร์ก มัวร์  อีกทั้งจิตรกรนาม “โธมัส นาสต์” (Thomas Nast) ได้เขียนภาพซานตาคลอสขึ้นมาเป็นชายแก่ร่างอ้วนใส่เสื้อผ้า และหมวกสีแดง อาศัยอยู่ที่ขั้วโลกเหนือ มีเลื่อนเป็นยานพาหนะที่มีกวางเรนเดียร์ลาก ต่อมาภาพลักษณ์นี้ก็กลายเป็นรูปลักษณ์ที่น่าจดจำที่เสริมเติมแต่งผ่านเพลง วิทยุ โทรทัศน์ หนังสือเด็กและภาพยนตร์ การพรรณนาซานตาคลอสในอเมริกาเหนือดังที่พัฒนาขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 19 และ 20 สรุปได้ว่าภาพลักษณ์ของซานต้าในปัจจุบันมาจากอเมริกา



                                                   เยี่ยมบ้านซานตาครอส

        แม้ว่าประเทศในแถบสแกนดิเนเวียและประเทศทางยุโรปจะมีซานตาคลอสอยู่เกือบทุกหนแห่ง แต่สถานที่ที่ให้ความรู้สึกว่าใกล้เคียง ก็คือที่นี่ หมู่บ้านซานตาคลอส และที่นี่ยังอยู่ใกล้ขั้วโลกมากที่สุด  บ้านซานต้า - Rovaniemi, Finland ตั้งอยู่ที่เมืองโรวาเนียมิ (Rovaniemi) มีเส้นละติจูดอยู่ห่างจากขั้วโลกเหนือเพียงไม่ถึง 3,000 กิโลเมตร

    หมู่บ้านซานตาคลอส เมืองโรวาเนียมี เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมมากที่สุดอีกแห่งหนึ่งของฟินแลนด์ โดยในแต่ละปีนั้นมีทั้งนักท่องเที่ยวทุกเพศทุกวัยจากทั่วโลกเดินทางมาเยี่ยมเยือนคุณลุงซานตาคลอสกันอย่างคึกคัก โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลคริสต์มาสซึ่งจะมีงานเฉลิมฉลองและการประดับไฟที่สวยงามมาก



        สาเหตุที่หมู่บ้านซานต้าคลอสตั้งอยู่ที่ โรวาเนียมี เนื่องด้วยเมื่อปีค.ศ. 1927 นักจัดรายการวิทยุชาวฟินแลนด์ ชื่อ Markus Rautio ได้พูดออกอากาศว่า “รู้ไหม..? โรงงานผลิตของเล่นของซานต้า ตั้งอยู่ในเขตแลปแลนด์ของเรานี่เอง” ประโยคสั้นๆ เองที่ได้สร้างความรับรู้ต่อๆ กันไปว่า บ้านของซานต้าตั้งอยู่ที่แลปแลนด์ จนกระทั่งปี ค.ศ. 1984 การท่องเที่ยวของฟินแลนด์ได้เกิดแนวความคิดที่จะจัดตั้งหมู่บ้านซานตาคลอส ขึ้นที่เมืองโรวาเนียมี เพื่อส่งเสริมเขตแลปแลนด์ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยว แลปแลนด์จึงกลายเป็นบ้านของซานต้านับแต่นั้นเป็นต้นมา



        เมื่อมาเที่ยวที่นี่แล้ว ในหมู่บ้านซานตาคลอสจะมีทั้งพิพิธภัณฑ์ของเล่นขนาดย่อม ร้านอาหาร ที่พัก และร้านขายสินค้าที่ระลึกมากมาย ทั้งนี้สิ่งที่เป็นที่นิยมมากที่สุดคือการถ่ายรูปคู่กับซานตาคลอส และการส่งโปสการ์ดจากที่ทำการไปรษณีย์ในหมู่บ้านซานตาคลอสพร้อมกับติดแสตมป์ที่ประทับตราพิเศษของ Santa Claus Village รวมถึงชมการคัดแยกจดหมายจากเด็กๆ ทั่วโลกที่จ่าหน้าซองถึงคุณลุงซานต้าด้วย ซึ่งจดหมายทุกฉบับที่จ่าหน้าซองถึง “Santa Claus” จะถูกส่งมาที่นี่โดยไม่ต้องระบุที่อยู่

        การมาเที่ยวที่นี้นั้น ไม่ใช่แค่ช่วงเทศกาลคริสต์มาสจะมาหมู่บ้านซาตาคลอสได้ เพราะที่นี่เปิดให้เที่ยวชมอย่างใกล้ชิดกับลุงซานต้าได้ตลอดทั้งปี ผู้ใหญ่ที่อยากจะพาเด็กๆไปก็สามารถเข้าไปศึกษาวิธีการเดินทางได้จากเว็บไซต์ www.santaclausvillage.info

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ค้นหาบล็อกนี้