รู้จักเมืองลับแล
ตำนาน เมืองลับแล
ตำนานพื้นเมืองเล่าว่า เมืองลับแลเป็นเมืองแม่ม่าย มีแต่ผู้หญิง ตั้งอยู่ในภูมิประเทศที่ลี้ลับซับซ้อน เล่ากันว่าคนที่นี่ต่างเป็นผู้ถือศีล ยึดมั่นแต่ความดี มีศีลธรรม และที่สำคัญคนที่นี่มีวาจาสัตย์ ไม่เคยพูดโกหกเลย มีตำนานเล่าว่า มีชายชาวเมืองทุ่งยั้ง เดินหลงทางเข้าไปในป่า หาทางออกไม่พบ เดินหลงอยู่จนเหนื่อยล้า ก็พอดีพบหญิงสาวเข้า เธอก็พาส่งไปโดยดี แต่พอหันไปขอบคุณก็หายตัวเป็นปริศนา ชายหนุ่มเกิดสงสัยใคร่หาคำตอบจึงเดินทางไปในป่าลึกอีกรอบ ครั้งนี้เพื่อตามหาหญิงสาวปริศนาให้พบให้ได้ในที่สุดก็พบอีกครั้ง ครั้งนี้เธอพาไปที่หมู่บ้านของเธอ ผู้คนในหมู่บ้านล้วนเป็นหญิงที่ดูท่าทางถือศีล และมีบุคลิกท่าทางสงบเสงี่ยม เมื่อจะกลับชายหนุ่มก็เกิดอยากพบเธอไปเรื่อยๆ และแล้วทั้งสองก็รักกัน ทั้งคู่ตัดสินใจอยู่กินด้วยกันฉันสามี ภรรยา หญิงสาวจึงได้พาชายหนุ่มไปที่บ้านของเธอ
ระหว่างนั้นหญิงสาวให้ชายหนุ่มสัญญาว่า เมื่อมาอยู่ที่นี่สิ่งสำคัญที่สุดคือห้ามพูดเท็จเป็นอันขาด ชายหนุ่มก็รับปากเป็นอย่างดี ทั้งสองก็อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขเรื่อยมา ฝ่ายหญิงมีหน้าที่ออกไปข้างนอก หาเสบียงอาหารและของป่า ฝ่ายชายกลับต้องอยู่ในบ้านคอยทำอาหารและดูแลบ้าน เป็นอย่างนี้เรื่อยมา ในระหว่างนั้น ชายหนุ่มก็ได้พบว่าหมู่บ้านลับแลนั้นล้วนเต็มไปด้วยของมีค่า และไม่ได้เป็นหมู่บ้านยากไร้อย่างที่คิด ในหมู่บ้านเองก็มีงานเทศกาลเช่นกัน ขณะเขาเดินชมหมู่บ้านที่ตกแต่งด้วยผ้าสีทอง โคมแขวนที่สวยงามมีอัญมณีแขวนตกแต่งอย่างไม่กลัวโจรขโมยแม้แต่น้อย เห็นมีแต่กลับผู้ใหญ่ คนแก่ๆ ไม่พบเด็กๆเลยสักคนเดียว เขาแปลกใจมากจนเผลอสักถามหญิงชราในหมู่บ้านก็ไม่ได้คำตอบอะไรเลย เธอปิดปากเงียบเป็นปริศนา เมื่อเขานำความสงสัยไปถามภรรยา เธอก็บอกว่า "พวกเราชาวบ้านต่างก็เป็นคนปกติธรรมดากันทั้งนั้นแหล่ะพี่ เราไม่เคยปิดกั้น หรือห้ามผู้ใดให้เข้ามาเยือน แต่คนที่กลับออกไปแล้ว มักจะไม่ได้กลับมาที่นี่อีกเลย" ชายหนุ่มก็ได้แต่เก็บความสงสัยเอาไว้ จนกระทั่งทั้งคู่มีบุตรด้วยกัน ทั้งสองต่างก็ดีใจยิ่งนัก หลังจากหญิงสาวให้กำเนิดลูกแล้ว ดูเหมือนช่วงเวลาแห่งความสุขได้เริ่มจางหายไป ลางร้ายเข้ามาแทนที่ ฝ่ายชายเกิดผิดคำสาบานขึ่นมา
วันหนึ่งขณะที่ภรรยาออกไปเก็บผักหักฟืน ลูกน้อยหิวนมร้องไม่หยุด พ่อก็พยายามปลอบให้ลูกหยุดร้องไห้ ทำยังไงก็ไม่หยุด จึงเผลอพูดไปว่า "นั่นแม่กลับมาแล้ว ลูกหยุดร้องได้แล้ว" แล้วลูกก็เลยหยุดร้องไห้ ต่อมาภรรยาสักถามสามี ว่าเลี้ยงดูลูกอย่างไร ทำยังไงถึงห้ามไม่ให้ลูกร้องได้ สามีก็บอกความจริงไป ภรรยาก็น่าเศร้าเสียใจบอกว่า "ที่นี่มีกฎที่เคร่งครัดที่สุด ผู้ใดพูดโกหก จะอยู่ที่นี่ไม่ได้ พี่ทำผิดแล้ว จะอยู่ที่นี่ไม่ได้อีกต่อไป" สามีก็เสียใจ "ทำไมเล่า!! พี่แค่ต้องการให้ลูกหยุดร้อง พี่ไม่ได้ตั้งใจเลย ทำไมเราต้องแยกจากกันเพราะเรื่องแค่นี้" แต่กฎก็ย่อมเป็นกฎ เมืองนี้อยู่ได้เพราะ วาจาสัตย์ ถ้าผู้ผิดคำพูดก็คือผิดศีลมาอาศัยอาจทำให้เมืองล่มสลายได้ ทันใดนั้น เกิดแผ่นดินไหวขึ้นมาในบ้าน คาดว่าจะเป็นอาเพศ ภรรยาจำเป็นต้องให้สามีออกจากเมืองไปทั้งน้ำตา มิเช่นนั้นเมืองทั้งเมืองอาจต้องถึงกาลวิบัติ เพราะการรักษาวาจาสัตย์ตามที่สัญญาไว้
ทีนี้ก่อนออกเดินทาง ภรรยาจึงมอบย่ามให้สามีพร้อมทั้งกำชับไม่ให้เปิดดูระหว่างเดินทาง ขณะเดินทางอยู่นั้น ชายหนุ่มล้วนได้พบภาพแปลกๆ มีหมู่ควันกลุ่มหนึ่งวูบขึ้นจากหลังของเค้า และเมื่อเดินทางต่อไปกลับได้พบสิ่งแปลกประหลาดเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทั้งกลุ่มหมอกควันที่รวมตัวกันกลายเป็นรูปทรงประหลาดคล้ายเสือ แต่สักพักควันก็ได้จางหายไป เขารู้สึกแปลกตั้งแต่หลงเข้าไปในเมืองแล้ว เหมือนลับแลจะซ่อนตัวอย่างปริศนาในป่าทึบนี้ สักพักชายหนุ่มรู้สึกเหนื่อยล้าจึงขอหลบไปนั่งพักกินน้ำใต้ร่มไม้ ด้วยความใจร้อนอยากเห็นของในย่ามจึงบ่มพึมพัมว่า "ขอดูสักนิดหน่อยเถอะน่า น่าจะเป็นทรัพย์สินเงินทอง ติดตัวไปบ้าง" เพราะเมืองลับแล เป็นเมืองที่เต็มไปด้วยทองคำ ของมีค่าตกแต่ง ดูเผินๆเหมือนยากจน แต่ของมีค่าในเมืองนั้น มีราคาสูง และมีอัญมณีเป็นจำนวนมาก น่าแปลกที่คนเมืองไม่เคยนำออกมาใช้" พอเขาเปิดย่ามออกก็พบกลับความผิดหวัง เมื่อของข้างในนั้นมีแต่ก้อนขมิ้น อยู่ในย่าม เขาหงุดหงิดที่แบกของไร้ประโยชน์พวกนี้เดินทางมาตั้งไกล จึงได้โยนขมิ้นออกไปด้วยความหงุดหงิด แต่เมื่อครั้นไปถึงบ้านของตน เขาได้รู้สึกผิด และเศร้าเสียใจกลับสิ่งที่เขาได้ทำลงไป ชายหนุ่มยังทำไม่ได้กับการสูญเสีย แต่เมื่อครั้นมองไปยังย่ามกลับพบว่ายังมีบางสิ่งเหลือไว้ เขาไม่ได้โยนมันทิ้งมันไปทั้งหมด จึงกลับเข้าไปเปิดของในย่ามดู ในย่ามยังมีขมิ้นที่เหลือไว้อีก 1 หัว พอชายหนุ่มเปิดออกดูถึงกับผงะ เพราะขมิ้นเพียงหัวเดียวนั้นได้กลายทองคำไปเสียแล้ว
ตำนานทางพุทธศาสนาเล่าว่า เมื่อครั้งที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เสด็จมาโปรดเวไนยสัตว์(สัตว์ที่พึงสอนสั่งได้ นั่นคือมนุษย์นั่นเอง)ที่หมู่บ้านนี้ ซึ่งต่อมาชื่อ “เมืองทุ่งยั้ง” พระองค์ได้ประทับนั่งบำเพ็ญภาวนาที่พระแท่นศิลาอาสน์ แล้วเสด็จเดินจงกรมที่วัดพระยืนพุทธบาทยุคล ได้ทอดพระเนตรไปในทางทิศเหนือ เห็นหนองน้ำกว้างใหญ่ ต่อมาหนองน้ำนี้เรียกว่า “หนองพระแล” และพระองค์ได้ทอดพระเนตรไปยังที่ตั้งของเมืองลับแล ปรากฏว่า มีต้นไม้บังมากมาย ดังกับเป็นที่ลี้ลับ ดินแดนแห่งนี้ จึงมีชื่อเรียกกันว่า “ลับแล”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น