พบกับ 1 ในสถานที่ท่องเที่ยวสวยแปลกตาไม่เหมือนที่ใด เป็นเหมือนโลกเทพนิยาย เมืองเกอเรเม่ Göreme แห่งคัปปาโดเกีย (Cappadocia) ประเทศตรุเกีย
ดินแดนมหัศจรรย์แห่งนี้เกิดขึ้นกว่า 8,000,000 ปีแล้ว ด้วยรูปลักษณ์บ้านเรือนที่ต้้งอยู่บนเขาหิน และบางที่มีช่องหน้าต่างเล็กๆดูอย่างกับเป็นที่พักของพวก Gnome มนุษย์จิ๋วตัวเล็กในโลกเทพนิยาย ด้วยความที่ภูมิประเทศเป็นหิน เมื่อถูกน้ำและลมกัดเซาะ จึงเกิดเป็นรูปทรงที่แปลกตา รวมทั้งเป็นถิ่นฐานใต้ดินโบราณที่เชื่อมต่อถึงกันอีกด้วย ซึ่งบ่งบอกชีวิตความเป็นอยู่ของคนในยุคนั้นได้เป็นอย่างดี
อุทยานแห่งชาติเกอเรเมเป็นอุทยานแห่งชาติในภาคกลางของตุรกี มีพื้นที่เกือบ 100 กิโลเมตรความมหัศจรรย์ของดินแดนแห่งนี้บังเกิดขึ้นเมื่อราว 8 ล้านปีก่อนหน้านี้ และยังมีนิทานเรื่องเล่าเก่าแก่ของที่นี่อีกด้วย เรื่องมีอยู่ว่า
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ณ. ดินแดนแห่งหนึ่งมีภูเขาไฟอยู่ 2 ลูก เป็นภูเขาที่มีชีวิตจิตใจ แถมยังมีนิสัยขี้โมโห ด้วยความเป็นภูเขาไฟที่มีลาวาครุกรุ่นอยู่ตลอดเวลา เมื่อทั้งคู่โมโหก็พ่นลาวา และเถ้าถ่านกระจายไปทั่วท้องฟ้า และยังพ่นออกมาอย่างไม่หยุดหย่อนเป็นวันๆ นานวันเข้าเถ้าถ่าน หินหลอมเหลวที่ปะทุออกมานั้นก็ทับถมพื้นที่โดยรอบจนกลายเป็นชั้นดิน ชั้นหิน ที่สูงเวิ้งว้างสุดสายตา ชั้นหินที่กระเด็นออกมานอกภูเขาก็เกิดเป็นสิ่งมีชีวิตเล็กๆเพิ่มมาอีก ต่างคนก็อยากจะสูงใหญ่กว่าลูกอื่นๆ จึงพยายามดันตัวเองแข่งกันว่าเขาลูกไหนจะสูงกว่าใครเพื่อน จนในที่สุดก็กลายเป็นเขาหินรูปร่างใหญ่น้อยรอบภูเขาไฟ จนในที่สุดเจ้าภูเขาไฟทั้งสองก็สงบลง
กาลเวลาได้ผ่านไป สายลม สายฝน ได้เดินทางผ่านมายังดินแดนแห่งนี้ พวกเขาแวะทักทายเยี่ยมเยียนชั้นดิน ชั้นหินเหล่านั้น ในการแวะทักทายแต่ละครั้ง ชั้นดิน ชั้นหิน นั้นรู้สึกอิจฉาที่ลง ฝน ไปที่ไหนก็ได้อย่างอิสระ จึงพากันตัดพ้อทุกครั้งเมื่อลมและฝนเดินทางมาหา เจ้าลมก็บอกว่า
กาลเวลาได้ผ่านไป สายลม สายฝน ได้เดินทางผ่านมายังดินแดนแห่งนี้ พวกเขาแวะทักทายเยี่ยมเยียนชั้นดิน ชั้นหินเหล่านั้น ในการแวะทักทายแต่ละครั้ง ชั้นดิน ชั้นหิน นั้นรู้สึกอิจฉาที่ลง ฝน ไปที่ไหนก็ได้อย่างอิสระ จึงพากันตัดพ้อทุกครั้งเมื่อลมและฝนเดินทางมาหา เจ้าลมก็บอกว่า
"ถ้าอย่างนั้น พวกเธอก็แบ่งดินมาให้ชั้นสักส่วนหนึ่งสิ ฉันจะได้พาชมเมืองต่างๆให้"
ชั้นดินและหินก็พอใจจึงได้กร่อนเศษเนื้อของตนเป็นของขวัญร่วมเดินทางไปกับสายลม และสายฝน แม้แต่ชั้นหินที่สูงที่สุดก็ยังอดใจไม่ไหวอยากไปก่อนเป็นพวกแรก จึงทำให้เขาหินมีรูปลักษณ์ที่เว้าแหว่งกลายสภาพเป็นแท่งหินรูปร่างแปลกตา
วันเวลาผ่านไปอีก เหล่ามนุษย์ก็ได้เดินทางผ่านมายังดินแดนแห่งนี้ เมื่อมาถึงเขาหินนี้ในยามค่ำคืน เขาหินบางก้อนมีความร้อนแผ่ออกมาและเปล่งแสง พวกเขาก็เฝ้าดูและรำพึงว่า "แท่งหินเหล่านั้น…ช่างละม้ายคล้ายปล่องไฟเหลือเกิน" พวกเขาจึงได้เรียกขานแท่งหินเหล่านั้นว่า “ปล่องไฟนางฟ้า”
จากนั้นสถานที่แห่งนี้ก็ได้ถูกจดจำว่าเป็นปล่องไฟนางฟ้านับแต่วันนั้น
ชั้นหิน ชั้นดินที่ทับถมหนาสูงจากอดีตนั้นมีเปราะบาง เมื่อถูกลมฝนกัดกร่อนก็กลายเป็นแท่งหินขนาดยักษ์ มนุษย์จึงขุดเจาะเข้าไปพักอาศัยอยู่ด้านในเป็นเช่นนั้นมาเนิ่นนาน… ใช้ชีวิตอย่างกับมนุษย์ถ้ำ มีเรื่องเล่าว่า ที่นี่เคยเป็นสถานที่ซึ่งชาวคริสเตียนยุคแรกใช้หลบหนีภัยการล่าสังหารจากจักวรรดิโรมัน สถานที่แห่งนี้จึงนับได้ว่าเป็นหลักฐานทางสถาปัตยกรรมที่สะท้อนชีวิตความเป็นอยู่และวัฒนธรรมอีกด้วย และด้วยเหตุนั้นเองเมืองเกอเรเม่จึงได้รับเลือกเป็นมรดกโลกทางธรรมชาติและทางศิลปวัฒนธรรมจากองก์กรยูเนสโกในปี 1985
วันเวลาผ่านไปอีก เหล่ามนุษย์ก็ได้เดินทางผ่านมายังดินแดนแห่งนี้ เมื่อมาถึงเขาหินนี้ในยามค่ำคืน เขาหินบางก้อนมีความร้อนแผ่ออกมาและเปล่งแสง พวกเขาก็เฝ้าดูและรำพึงว่า "แท่งหินเหล่านั้น…ช่างละม้ายคล้ายปล่องไฟเหลือเกิน" พวกเขาจึงได้เรียกขานแท่งหินเหล่านั้นว่า “ปล่องไฟนางฟ้า”
จากนั้นสถานที่แห่งนี้ก็ได้ถูกจดจำว่าเป็นปล่องไฟนางฟ้านับแต่วันนั้น
ชั้นหิน ชั้นดินที่ทับถมหนาสูงจากอดีตนั้นมีเปราะบาง เมื่อถูกลมฝนกัดกร่อนก็กลายเป็นแท่งหินขนาดยักษ์ มนุษย์จึงขุดเจาะเข้าไปพักอาศัยอยู่ด้านในเป็นเช่นนั้นมาเนิ่นนาน… ใช้ชีวิตอย่างกับมนุษย์ถ้ำ มีเรื่องเล่าว่า ที่นี่เคยเป็นสถานที่ซึ่งชาวคริสเตียนยุคแรกใช้หลบหนีภัยการล่าสังหารจากจักวรรดิโรมัน สถานที่แห่งนี้จึงนับได้ว่าเป็นหลักฐานทางสถาปัตยกรรมที่สะท้อนชีวิตความเป็นอยู่และวัฒนธรรมอีกด้วย และด้วยเหตุนั้นเองเมืองเกอเรเม่จึงได้รับเลือกเป็นมรดกโลกทางธรรมชาติและทางศิลปวัฒนธรรมจากองก์กรยูเนสโกในปี 1985
การเดินทางไปเที่ยว
เมืองเกอเร่เม่นั้นมีเส้นทางเดินชมธรรมชาติสวย ๆ ให้นักท่องเที่ยวได้เลือกเดินอยู่หลายเส้นทาง เช่น Pegion Valley ที่ใช้เวลาเดินประมาณ 3-5 ชั่วโมง และ อีกเส้นทางหนึ่งที่ได้รับการยกย่องว่าสวยเป็นอันดับต้น ๆ ของโลกนั่นคือ Rose Valley ใช้ระยะเวลาประมาณ 3-5 ชั่วโมงเช่นกัน ชื่อของหุบเขานั้นก็น่าจะตั้งขึ้นมาจากสภาพแวดล้อมและช่องเจาะหินเล็กๆในเขานั่นเอง
Pegion Valley
ทั้งสองเส้นทางนั้นเมื่อเดินไปเรื่อย ๆ จะค่อย ๆ พบว่าตนเองได้หลุดเข้าไปในวงล้อมของป่าหิน ที่มีแต่แท่งหินอยู่รายล้อม หลายแท่งนั้นมีช่องขุดเจาะเข้าไปด้านใน บางแท่งเห็นได้ชัดว่าเป็นที่อยู่อาศัยด้วยมีร่องรอยการอาศัยอย่างชัดเจน บางแท่งนั้นเล็กกระจิดริดเหมือนเจาะให้คนแคระเข้าไปอยู่ แต่จริงๆแล้วเขาเจาะเพื่อให้นกพิราบบินเข้าไปอาศัยด้านใน เพื่อที่จะได้เก็บมูลไปทำประโยชน์ต่อไป
Rose Valley
ด้วยลักษณะภูมิประเทศที่แปลกตาทำให้เดินได้เพลินทั้งสองเส้นทาง หาก Rose Valley นั้นต้องเดินช่วงบ่ายคล้อยใกล้เย็นย่ำ เพื่อที่จะได้ถึงที่หมายบนยอดเขาสูงเพื่อชมอาทิตย์ตกดินเพราะที่นี่นั้นก็เป็นหนึ่งในจุดชมวิวที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งในโลกเช่นกัน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น